ค่ายม้าลำพองจากเมืองมาราเนลโล แห่งอิตาลี คราวนี้มาแปลกพิกล ไม่รู้ว่าคิดอย่างไร
ถึงได้ตัดสินใจ ออกรถสปอร์ตรุ่นใหม่ โดยใช้รูปแบบตัวถัง Sport Wagon 2 ประตู
ที่ชาวยุโรป เรียกกันว่า Shooting Break แถมยังถือเป็น Ferrari รุ่นแรกในประวัติศาสตร์
ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ AWD ในชื่อ 4RM อีกด้วย!!! พวกเขาประกาศออกมาเมื่อ
21 มกราคม 2011 โดยจะเรียกชื่อรถรุ่นนี้ว่า Ferrari FF ….
ถึงจะฟังดูแล้ว นึกถึง บะหมี่ FF หรือ Nissan Sunny FF แต่ Ferrari ก็ทุ่มทุนในการพัฒนารถรุ่นนี้
ไปไม่น้อย และยังให้ความสำคัญับการทดสอบความทนทาน ด้วยการนำรถต้นแบบ Prototype
ไปทดสอบในสภาพถนน และสภาพอากาศอันโหดร้าย ทั้งในอิตาลี ฟินแลนด์ สวีเดน และอาร์เจนตินา
เพราะรถรุ่นนี้ ต้องรับหน้าที่ ทำตลาดแทน Ferrari 612 Scaglietti อันเป็นรถสปอร์ต 4 ที่นั่งแนว GT
FF มีความยาวตัวถัง 4,907 มิลลิเมตร กว้าง 1,953 มิลลิเมตร สูง 1,379 มิลลิเมตร น้ำหนักตัว 1,379 กิโลกรัม
น้ำหนักตัวรถเปล่าๆ 1,790 กิโลกรัม การกระจายน้ำหนัก หน้า-หลัง อยู่ที่ 47 : 53
งานออกแบบเส้นสายภายนอก ยังคงเป็นฝีมือของ Pininfarina เจ้าเก่า เหมือนเคย โดยนำเอาเส้นสาย
ของรถรุ่นใหม่ ทั้ง 458 Italia, California และ 599 GTB Fioirino มาผสมผสานเข้าไว้ด้วยกัน เหนือ
สิ่งอื่นใด จุดเด่นของการออกแบบรถคันนี้ อยู่ที่บั้นท้าย ซึ่งมาในสไตล์ รถสปอร์ต กึ่งแวกอน 2 ประตู
ในแบบ Shooting Break ให้พื้นที่ห้องเก็บสัมภาระมากถึง 450 ลิตร ในยามปกติ และถ้าพับเบาะหลัง
จะมีพื้นที่เพิ่มเป็น 800 ลิตร! ถือว่าเป็น Fearriri ที่มีพื้นที่ห้องเก็บของด้าหลังเยอะที่สุด เท่าที่เคย
ทำขายกันขนานใหญ่ ไม่นับรถตัวถังพิเศษทั้งหลาย อีกด้วย
เครื่องยนต์เป็น บล็อกใหม่ V12 DOHC 48 วาล์ว ทำมุมเอียง 65 องศา 6,262 ซีซี Direct Injection
หัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ 660 แรงม้า ที่ 8,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 683 นิวตันเมตร ที่ 6,000 รอบ/นาที
ตัวเลขจากโรงงานเคลมว่า ทำอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ใน 3.7 วินาที และทำความเร็วสูงสุด
ได้ 335 กิโลเมตร/ชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 15.4 ลิตร/100 กิโลเมตร (อ่านไม่ผิดครับ) และ
อัตราการปล่อยมลพิษ อยู่ที่ 360 กรัม/1 กิโลเมตร
เครื่องยนต์บล็อกนี้ จะถูกติดตั้งเชื่อมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ลิขสิทธิ์เฉพาะของ Ferrari ในชื่อ 4RM
(four-wheel drive) โดยมีน้ำหนักของชุดระบบขับเคลื่อนที่เกี่ยวข้อง เบากว่าที่ติดตั้งอยู่ในรถยนต์แบบ
ขับเคลื่อน 4 ล้อทั่วไปถึง 50 เปอร์เซนต์ เพื่อให้น้ำหนักตัว กดลงบนล้อคู่หลังมากถึง 53 เปอร์เซนต์
อันเป็นสัดส่วนที่สมดุลย์ ในมุมมองของวิศวกร Ferrari ทำงานร่วมกับระบบ Electronic dynamic control
systems ควบคุมการกระจายแรงบิดสู่ล้อทั้ง 4 ด้วยอีเล็กโทรนิคส์ ให้เหมาะสมกับการขับขี่ในมุกสภาพถนน
นอกจากนี้ FF ยังถูกติดตั้งระบบ magnetorheological damping system (SCM3) รวมทั้งยังติดตั้ง ดิสก์เบรก
4 ล้อ จานเบรกทำจาก Carbon-Ceramic โดย พันธมิตรเก่าแก่อย่าง Brembo อีกด้วย
Ferrari FF จะถูกเปิดผ้าคลุมอย่างเป็นทางการในงาน Geneva Motor Show เดือนมีนาคม 2011 นี้
และจะเริ่มออกสู่ตลาดโลก หลังจากนี้ ทันที รอกันไม่นานนัก
————————————–///—————————————-