สรุปทุกประเด็น MOU 44 จะทำให้ไทยเสียเกาะกูดแก่กัมพูชาหรือไม่

เกาะกูด

ที่มาของภาพ, Getty Images

เพียงไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์หลังจากพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพลังประชารัฐ (พปชร.) เคลื่อนไหวเปิดประเด็นว่าไทยจะเสียดินแดนเกาะกูด จ.ตราด โดยเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกบันทึกความเข้าใจพื้นที่ทับซ้อนของไหล่ทวีปหรือ "MOU 44" ที่ไทยลงนามร่วมกับกัมพูชาไว้เมื่อปี 2544 ต้นสัปดาห์นี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นำพรรคร่วมรัฐบาลแถลงยืนยันเกาะกูดเป็นของไทย และเอ็มโอยูที่ลงนามเมื่อ 23 ปีที่แล้ว ไม่ได้มีผลทำให้ไทยเสียดินแดนเกาะกูด

“เรายังไม่ได้เสียเปรียบในการตกลงนี้ มันเป็นเรื่องที่นานมาแล้วมีการขีดเส้น เราจึงสร้างเอ็มโอยูขึ้นมาเพื่อเปิดพื้นที่ให้ทั้งประเทศเจรจาและตกลงร่วมกันในผลประโยชน์” น.ส.แพทองธาร กล่าวในการแถลงที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 4 พ.ย.

“รัฐบาลนี้จะไม่ยอมเสียพื้นที่ของประเทศไทยแม้แต่ตารางนิ้วเดียวไปให้ใครก็ตาม ซึ่งเรื่องเกาะกูดกับระหว่างกัมพูชาเองเราไม่เคยมีปัญหา ไม่เคยมีข้อสงสัยด้วย อาจจะแค่เกิดความเข้าใจผิดกันในประเทศไทย ซึ่งมั่นใจได้เลยว่าเกาะกูดเป็นของประเทศไทย”

นายกฯ ระบุด้วยว่า “เราไม่ได้ยอมรับเส้น[เขตแดน]อะไร เอ็มโอยูดังกล่าวคือการที่เราคิดไม่เหมือนกัน แต่เราต้องแก้ไขปัญหาร่วมกันทั้งสองประเทศ” และจะเดินหน้าเอ็มโอยูนี้ต่อ ซึ่งตอนนี้จะต้องมีการแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (Joint Technical Committee: JTC) ของฝ่ายไทย ซึ่งทุกรัฐบาลมีมาแล้ว แต่รัฐบาลนี้ยังตั้งไม่เสร็จ

นายกรัฐมนตรียังระบุเพิ่มเติมในวันนี้ (5 พ.ย.) ว่า คาดว่าไม่น่าจะเกิน 2 สัปดาห์ จะนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.)

เหตุใดบันทึกความเข้าใจที่ไทยลงนามกับกัมพูชาเมื่อ 23 ปีที่แล้ว จึงกลายเป็นประเด็นที่ถูกกล่าวหาว่าจะทำให้ไทยเสียดินแดน บีบีซีไทยคุยกับผู้เชี่ยวชาญ และประมวลคำชี้แจงจากกระทรวงการต่างประเทศ และนายกรัฐมนตรี

แพทองธาร

ที่มาของภาพ, HANDOUT/THAIGOV

คำบรรยายภาพ, "เอ็มโอยูยังคงอยู่ ไม่สามารถมีการยกเลิกได้ ต้องเป็นการตกลงกันระหว่างทั้งสองประเทศ" น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ แถลงที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อ 4 พ.ย. 2567

MOU 44 คืออะไร ทำไม พปชร. จึงอยากให้ยกเลิก

MOU 44 หรือ MOU 2544 คือบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐไทยกับรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน

บันทึกความเข้าใจฉบับนี้เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร โดยนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ซึ่งเป็น รมว.ต่างประเทศ ในขณะนั้น ลงนามใน MOU ดังกล่าวกับนายซก อัน รัฐมนตรีอาวุโสและประธานการปิโตรเลียมแห่งชาติกัมพูชา เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2544

สำหรับความเคลื่อนไหวในการเรียกร้องให้ยกเลิกเอ็มโอยูฉบับนี้ เกิดขึ้นตั้งแต่เดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา

เดือน มิ.ย. นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค พปชร. ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่า การที่กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย และกระทรวงการต่างประเทศ นำ MOU 44 ซึ่งไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากสภา “มาใช้ดำเนินการแบ่งเขตอธิปไตย และผลประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลของไทย ด้านอ่าวไทย เป็นการละเมิดสิทธิ์ของผู้ร้องตามรัฐธรรมนูญ” หรือไม่ และขอให้วินิจฉัยยกเลิก

ทว่าเมื่อวันที่ 4 ก.ย. ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 ไม่รับคำร้องขอวินิจฉัย ด้วยเหตุว่านายไพบูลย์ ไม่ใช่ผู้ถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญโดยตรง

ต่อมาวันที่ 30 ต.ค. นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ประธานด้านวิชาการพรรค พปชร. เปิดแถลงที่รัฐสภาว่า ข้อความในเอกสาร MOU 44 และแผนที่แนบท้าย แสดงให้เห็นว่าทั้งไทยและกัมพูชายอมรับว่ามีพื้นที่พัฒนาร่วมกันเพื่อให้เจรจาแบ่งผลประโยชน์ปิโตรเลียม แต่แผนที่แนบท้ายของเอ็มโอยูได้ใช้เส้นเขตแดนทะเลที่ประกาศโดยกัมพูชาในปี 2515 ซึ่งเส้นที่พาดผ่านเกาะกูดนั้น ขัดกับสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 จึงมองว่า MOU 44 ทั้งฉบับผิดกฎหมายและอาจส่งผลให้ไทยสูญเสียดินแดน

“ไม่ขัดข้องที่รัฐบาลจะเจรจาหาทางลงทุนร่วมกับกัมพูชา แต่ขัดข้องถ้าหากรัฐบาลจะใช้ MOU 44 เป็นกรอบในการเจรจา เพราะนอกจากเห็นว่าผิดกฎหมายแล้ว ยังอาจจะทำให้ไทยเสียดินแดนอีกด้วย” สมาชิกพรรค พปชร. ระบุ

ในระหว่างการเปิดแถลงชี้แจงประเด็นเกาะกูด นางสุพรรณวษา โชติกญาณ ถัง อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ได้อธิบายที่มาของ MOU 44 ว่า ไทยและกัมพูชามีความพยายามจะเจรจาพื้นที่ทับซ้อนไหล่ทวีปในอ่าวไทยตั้งแต่ปี 2513 ก่อนที่กัมพูชาประกาศ "เส้นเคลม" หรือเส้นเขตแดนของกัมพูชาในปี 2515 แต่การเจรจาไม่เดินหน้าไปไหน เพราะต่างฝ่ายต่างเห็นไม่ตรงกัน

“ไทยเห็นความสำคัญว่าต้องสร้างความชัดเจนเรื่องทะเลอาณาเขตและการปกป้องอธิปไตย แต่กัมพูชาเห็นความสำคัญของการนำทรัพยากรขึ้นมาใช้ ก็เลยคุยไม่รู้เรื่อง” ก่อนที่ในเวลาต่อมาในสมัยนายสุรเกียรติ์เป็น รมว.ต่างประเทศ ได้ตกลงกันสร้างกรอบให้มีความคืบหน้าในเรื่องนี้ จึงเป็นที่มาของ MOU 44

อย่างไรก็ตาม หลังจากกัมพูชาประกาศเส้นเขตแดนทางทะเลในปี 2515 ไทยก็ประกาศเส้นของไทยเองเช่นกันในปี 2516 ซึ่งปรากฏในพระบรมราชโองการประกาศเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทยปี 2516 และตามด้วยการประกาศเขตไหล่ทวีปของเวียดนามในปี 2517

แผนที่แนบท้าย MOU 2544

ที่มาของภาพ, Samharn Dairairam/UNITED NATIONS

คำบรรยายภาพ, แผนที่แนบท้าย MOU 2544 ซึ่งแสดงถึงเส้นประกาศเขตทางทะเลของไทยและกัมพูชา ในอ่าวไทย ซึ่งทำให้เกิด “พื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน” Overlapping Claims Area (OCA) -- บีบีซีไทยได้เน้นเส้นสีเพื่อความชัดเจน

การประกาศเขตแดนของไทยและกัมพูชาดังกล่าวทำให้เกิดพื้นที่ทับซ้อนกันซึ่งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “พื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน” Overlapping Claims Area (OCA) ขนาด 26,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นเส้นอ้างสิทธิ์ที่แต่ละประเทศต่างประกาศออกมา ซึ่งอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายระบุว่า "พื้นที่ดังกล่าวกว้างใหญ่กว่าพื้นที่ OCA ระหว่างไทยและกัมพูชา 4 เท่า"

แล้วเส้นที่ทั้งไทยและกัมพูชาประกาศเขต มีผลอย่างไรในทางกฎหมายหรือไม่ นางสุพรรณวษา ชี้แจงว่า พื้นที่ดังกล่าวที่ปรากฏในแผนที่เกิดจากการประกาศเขตทางทะเลของแต่ละรัฐเพียงฝ่ายเดียว (unilateral claim) ซึ่งการประกาศดังกล่าวจะผูกพันแต่เฉพาะตามกฎหมายภายในของประเทศนั้น ๆ และไม่ได้ผูกพันไทย

“เราไม่ได้ไปยอมรับเส้นอะไรของเขา เพราะบ่อเกิดมันคือกฎหมายภายใน” อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ระบุ

อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย อธิบายว่า พื้นที่ OCA รวม 26,000 ตารางกิโลเมตร แบ่งเป็นสองพื้นที่หลัก ๆ ได้แก่ พื้นที่เหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนือ กำหนดให้เจรจาแบ่งเขตทางทะเล และพื้นที่ใต้เส้นละติจูด 11 องศาเหนือ กำหนดให้เจรจาเพื่อพัฒนาพื้นที่ร่วมกัน (JDA) โดยมีเงื่อนไขว่าสองเรื่องนี้ต้องพูดคุยไปพร้อมกันโดยไม่อาจแบ่งแยกกันได้ จึงเป็นที่มาของเอ็มโอยูที่กำหนดว่ามีสองผลประโยชน์ที่ไทยจะรักษา

MOU 44 ทำให้ไทยสูญเสียเกาะกูดหรือไม่

อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ยืนยันว่า MOU 44 "ไม่ได้ทำให้เราเสียเกาะกูด" เพราะว่าในตัวสนธิสัญญากรุงสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 ระบุชัดเจนว่า เกาะกูดเป็นของไทย อันนี้เป็นหลักฐานสำคัญในการยืนยันกรรมสิทธิ์เหนือตัวเกาะ ซึ่งไม่เคยเป็นประเด็นที่เกิดความสงสัย

“สนธิสัญญาระบุชัดเจนว่าตัวเกาะ (กูด) เป็นของไทย และในอดีตจนถึงปัจจุบันเราก็ใช้อำนาจอธิปไตยเหนือเกาะ 100 เปอร์เซ็นต์”

อธิบดีจากกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงประเด็นที่มีความกังวลว่า การที่แผนที่แนบท้าย MOU 44 ปรากฏเส้นเคลมผ่านเกาะกูดจะเป็นการยอมรับการขีดเส้นของกัมพูชาหรือไม่นั้น นางสุพรรณวษา ระบุว่าเงื่อนไขข้อที่ 5 ในเอ็มโอยูได้ระบุชัดเจนว่า ภายใต้เงื่อนไขการมีผลบังคับใช้ของการแบ่งเขตสำหรับการอ้างสิทธิทางทะเลของภาคีผู้ทำสัญญาในพื้นที่ที่ต้องมีการแบ่งเขต บันทึกความเข้าใจนี้และ "การดำเนินการทั้งหลายตามบันทึกความเข้าใจนี้จะไม่มีผลกระทบต่อการอ้างสิทธิทางทะเลของแต่ละภาคีผู้ทำสัญญาไว้"

“เคลม[เส้นเขตแดน]ของแต่ละฝ่ายก็ยังอยู่ตามกฎหมาย ผลสำเร็จการเจรจาจะเป็นอย่างไรก็ตาม ไม่ได้ทำลายสิ่งที่เราเคลม เราถึงต้องรักษาสิทธิที่เราเคลมไว้ก่อน”

“เราไม่ต้องตกลงอะไรทั้งนั้น จนกว่าเราจะมั่นใจว่าสิ่งที่เราได้สมประโยชน์ของไทย จึงไม่ได้เป็นการยอมรับตัวเส้นเคลมของกัมพูชา และกัมพูชาก็ไม่ได้ยอมรับเส้นเคลมของเราเช่นกัน”

ทางด้าน ผศ.อัครพงษ์ ค่ำคูณ คณบดีวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวกับบีบีซีไทยว่า เส้นเขตแดนที่แสดงอยู่ใน MOU 44 คือเส้นไหล่ทวีปซึ่งเป็นประเด็นเรื่องแสวงประโยชน์ใต้ดิน ไม่เกี่ยวข้องกับการ “เสียสิทธิสภาพใด ๆ ทั้งหลายในการปกป้องประเทศ”

“การประกาศเส้นไหล่ทวีปเป็นเรื่องของใต้ดิน ไม่เกี่ยวอะไรกับการเสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียว หรือเสียอธิปไตยที่จะปกป้องประเทศ ไม่เกี่ยวเลย แต่เป็นเรื่องแสวงหาประโยชน์ เรามีสิทธิแสวงหาประโยชน์ตรงนี้”

กต แถลง

ที่มาของภาพ, กระทรวงการต่างประเทศ

คำบรรยายภาพ, นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ และนางสุพรรณวษา โชติกญาณ ถัง อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย แถลงชี้แจงประเด็นเกาะกูด และ MOU 44 เมื่อ 4 พ.ย. 2567

การเจรจาผลประโยชน์ด้านพลังงานในทะเล เกี่ยวข้องกับ MOU 44 อย่างไร

ในประเด็นเรื่องการสัมปทานในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชานี้ อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ชี้แจงเมื่อวันที่ 4 พ.ย. ว่า มีการกำหนดพื้นที่ต่าง ๆ แต่ยังไม่มีการเดินหน้าใด ๆ จนกว่าจะมีความชัดเจนเรื่องเขตแดนทางทะเล ซึ่งความชัดเจนดังกล่าวจะเป็นตัวบอกว่าทรัพยากรเป็นของใคร ทรัพยากรอยู่ที่ไหน

สอดคล้องกับ ผศ.อัครพงษ์ ที่กล่าวกับบีบีซีไทยว่า แผนที่รัฐบาลจะไปเจรจาเรื่องผลประโยชน์ทางพลังงานในพื้นที่ทับซ้อน เกี่ยวข้องกับการเจรจาภายใต้ MOU 44 ฉบับนี้ แต่ในขณะเดียวกัน ในพื้นที่ดังกล่าวได้มีการวางแผนเรื่องสัมปทานไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน ซึ่งเป็นข้อมูลที่สาธารณะเข้าถึงได้

“บริษัทอะไรบ้างที่ได้สัมปทานไปแล้ว ทุกคนออกมาพูดว่า เดี๋ยวจะเกิดการแสวงหาผลประโยชน์ แต่จริง ๆ แสวงหาไปแล้ว แต่ยังไม่ขุด มีการให้แล้วว่าใครเป็นเจ้าของพื้นที่ตรงนี้ ๆ” ผศ.อัครพงษ์ กล่าว

ในระหว่างการแถลงของ น.ส.แพทองธาร เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2567 นายกรัฐมนตรีได้ตอบคำถามเกี่ยวกับแนวทางการเจรจาเรื่องพลังงานใต้ทะเลว่า ต้องคุยกันระหว่างประเทศก่อน และต้องมีการศึกษารายละเอียดว่าจะแบ่งกันอย่างไรได้บ้าง เพื่อให้ผลประโยชน์ที่จะเกิดกับ 2 ประเทศยุติธรรมมากที่สุด รัฐบาลจึงส่งคณะกรรมการที่รู้รายละเอียดไปศึกษาร่วมกันกับทางกัมพูชาให้ได้คำตอบที่จะสามารถตอบประชาชนได้อย่างชัดเจน

แผนที่สัมปทานปิโตรเลียมในอ่าวไทย จากรายงานประจำปีของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน เมื่อปี 2552 ในแผนภาพดังกล่าวแสดงเขตสัมปทานในพื้นที่ทับซ้อนไว้ด้วย

ที่มาของภาพ, กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ

คำบรรยายภาพ, แผนที่สัมปทานปิโตรเลียมในอ่าวไทย จากรายงานประจำปีของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน เมื่อปี 2552 ในแผนภาพดังกล่าวแสดงเขตสัมปทานในพื้นที่ทับซ้อนไว้ด้วย

ผู้เชี่ยวชาญมองเป็นปัญหาภายในประเทศ มากกว่าปัญหาระหว่างประเทศ

ผศ.อัครพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้ความเห็นกับบีบีซีไทยว่า ความเคลื่อนไหวที่มีการระบุว่า แผนที่แนบท้ายใน MOU 44 จะทำให้ไทยเสียเกาะกูดไป สามารถตีความได้ทั้งสองทาง แต่สุดท้ายขึ้นอยู่กับว่ารัฐใช้หลักฐานอะไรที่จะทำให้ฝ่ายไทยได้ประโยชน์ แต่ทั้งนี้มองว่า ประเด็นเรื่องอำนาจอธิปไตยและเส้นเขตแดน ไม่มีเหตุผลใดเลยที่ผู้ปฏิบัติงานในกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้เกี่ยวข้องกับการเจรจาผลประโยชน์ของชาติจะใช้หลักฐานที่ทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบ

“การเอามาพูดแบบนี้ มันส่งผลดีในแง่ประโยชน์ส่วนตนทางการเมือง แต่ไม่ส่งผลดีในเรื่องประโยชน์สาธารณะระหว่างประเทศ เพราะนั้น การที่จะมาประกาศตัวเองว่ารักชาติมากกว่าคนอื่น โดยใช้หลักฐานที่เป็นประโยชน์กับต่างประเทศ ถามว่าคุณรักชาติจริงหรือ”

ผู้เชี่ยวชาญผู้ศึกษาเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชากล่าวด้วยว่า การมีกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวอย่างนี้ ถือว่าเป็นกุศลในเรื่องความรักชาติ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับมีอานิสงส์ ซึ่งส่งผลอย่างใหญ่โตอย่างมาก อย่างเช่นกรณีของเขาพระวิหาร ผศ.อัครพงษ์ กล่าวว่า พูดอย่างตรงไปตรงมาเป็นเรื่องเดียวกันกับกรณีเกาะกูด เพราะเมื่อมี “ฝ่ายการเมืองเอามาเล่นการเมือง” แทนที่ไทยจะได้ประโยชน์ แต่กลับเกิดผลในทางตรงกันข้าม

“ตอนที่นายนพดล ปัทมะ (อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อปี 2551) ดำเนินการตามที่ศาลตัดสินมาแล้ว ที่ระบุให้กัมพูชา ขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาท แต่พื้นที่รอบตัวปราสาทให้สงวนไว้ แต่เมื่อมีนักเคลื่อนไหวออกมาต่อต้านนายนพดล และมีการให้ข้อมูลหลักฐานอะไรทั้งหลาย ทางฝั่งเพื่อนบ้านเขาก็เห็นช่อง เขาก็เลยเอาไปฟ้องศาลโลก ทั้ง ๆ ที่มันไม่น่าจะมีประเด็นอะไรเลย”

ผศ.อัครพงษ์ กล่าวว่าเช่นเดียวกันกับกรณีเกาะกูด "กัมพูชาเขาไม่ได้ตีความอย่างนั้นเลย"

“ฝ่ายเราต่างหากที่ตีความมาเป็นอาวุธทำลายล้างกัน อานิสงส์ในการทะเลาะกันของคนไทยมันตกไปอยู่กับฝ่ายประเทศเพื่อนบ้าน เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังมาก ๆ ในแง่ของการเจรจาเขตแดนระหว่างประเทศ จริง ๆ ตอนนี้เป็นปัญหาภายในประเทศ ไม่ใช่ปัญหาระหว่างประเทศ”

asean map

ที่มาของภาพ, Getty Images

คำบรรยายภาพ, ไม่เพียงแต่การมีพื้นที่ทับซ้อนกับกัมพูชา แต่ไทยยังเคยมีกรณีลักษณะเดียวกันกับมาเลเซีย และเวียดนาม แต่ก็สามารถตกลงกันร่วมพัฒนาพื้นที่ทับซ้อน (JDA) ได้สำเร็จ โดยกรณีมาเลเซีย ไทยบรรลุ JDA ในสมัยนายกฯ เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ปี 2522 ส่วนเวียดนาม มีการลงนามบันทึกความเข้าใจ ในปี 2540

คำถามต่อรัฐบาล แรงกดดันในการเจรจามาจากกลุ่มทุนพลังงานหรือไม่

คณบดีวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวด้วยว่า ด้วยการประมาณการเรื่องน้ำมันและก๊าซธรรมชาติซึ่งคาดว่ามีอยู่มาก เป็นการเดินสวนทางกับการเดินหน้าสู่เศรษฐกิจสีเขียวหรือไม่ หรือเป็นแรงกดดันจากกลุ่มทุนภาคพลังงาน

“แรงกดดันในการแสวงหาทรัพยากรใต้ดินมันมาจากไหนกันแน่ มาจากภาคเอกชนหรือเปล่า หรือมาจากภาคทุนหรือเปล่าซึ่งพยายามบอกว่า ถ้าเราไม่แสวงหาจะเกิดการเสียเปล่า" ผศ.อัครพงษ์ กล่าว "สรุปมันคืออะไรกันแน่ มันคือความมั่นคงของชาติจริง ๆ หรือไม่ นี่คือคำถาม”

ผู้เชี่ยวชาญจาก มธ. ตั้งคำถามด้วยว่า ประเด็นดังกล่าวแต่ละฝ่ายมีจุดประสงค์เช่นใด ทั้งคนที่ออกมาเคลื่อนไหวเรื่องเสียเกาะกูด และฝ่ายรัฐบาล เพราะการเจรจาภายใต้ MOU 44 ครั้งหลักมีขึ้น 3 ครั้ง ได้แก่ปี 2544, ภายใต้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และภายใต้รัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งถูกมองเรื่องความใกล้ชิดระหว่างนายทักษิณ ชินวัตร และรัฐบาลกัมพูชา

“ถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ อยู่มาสิบปี ทำไมไม่เห็นจะไปยกเลิกอะไร หรือมันไม่มีกระบวนการจะไปแสวงหาประโยชน์ในสมัยนั้น หรือมันก็มี แต่ไม่ประสบความสำเร็จในการเจรจาเท่านั้นเอง... สรุปปัญหาของชาติไทยคืออะไร ขัดแข้งขัดขากันเอง หรือเราเป็นห่วงชาติเสียจนเราอาจจะไม่ได้มองผลประโยชน์ส่วนรวม หรือรัฐบาลไม่ได้พูดความจริงกับประชาชนว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลประโยชน์ของใครกันแน่” ผศ.อัครพงษ์ กล่าว

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประเด็นการพัฒนาแหล่งพื้นที่ปิโตรเลียมทับซ้อนไทย-กัมพูชา ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นระยะ เช่นในปี 2565 นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กระทรวงพลังงาน ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เคยกล่าวถึงความคืบหน้าในการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวว่า อยู่ในขั้นการเจรจาของกระทรวงการต่างประเทศ ขณะที่เมื่อต้นปี 2566 ได้มีการประชุม ครม. ลับ ซึ่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้นำข้อมูลใหม่จากฝ่ายกัมพูชามาแจ้งว่า รัฐบาลในกรุงพนมเปญแสดงความพร้อมในการกลับเข้ามาเจรจากันอีกครั้งหนึ่ง